คู่มือการทดสอบปริมาณน้ำ
ความสำคัญของการทดสอบปริมาณน้ำ
บ่อที่พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้วถือว่าพร้อมที่จะติดตั้งเครื่องสูบ สูบน้ำขึ้นมาใช้ แต่ในทางปฏิบัติควรจะทดสอบปริมาณน้ำ (Pumping test) เสียก่อน เพื่อให้ได้รายละเอียดเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะสูบขึ้นมาได้ และเพื่อหาข้อมูลสำหรับการเลือกใช้เครื่องสูบให้ถูกต้อง การทดสอบแบบธรรมดาทำได้โดยการหาเครื่องสูบมาสูบน้ำออกให้ได้มากที่สุด พร้อมกับวัดระดับน้ำในบ่อก่อนที่จะสูบ ในขณะสูบ และหลังจากหยุดสูบ ตัวเลขที่ได้เอาไปคำนวณหาขนาดเครื่องสูบได้ การทดสอบแบบนี้ไม่ค่อยจะได้ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของบ่อ หรือของชั้นน้ำมากนัก วิธีที่จะได้ข้อมูลจริง ๆ ต้องทดสอบให้ถูกหลักทางอุทกวิทยาน้ำบาดาลที่เรียกว่า Aquifer test ซึ่งจะได้กล่าวถึงโดยย่อ ๆ ต่อไป แต่ก่อนจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีผู้อ่านควรจะมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับชลศาสตร์ของบ่อน้ำ (Hydraulics of wells) ไว้เป็นพื้นฐานเสียก่อน
ได้กล่าวในตอนต้น ๆ แล้วว่า แหล่งน้ำบาดาลเกิดขึ้นได้ 2 แบบ แบบแรกชั้นน้ำอยู่ในโซนอิ่มตัวด้วยน้ำ มีระดับน้ำเรียกว่า ระดับน้ำใต้ดิน การไหลหลั่งของน้ำบาดาลเป็นไปตามแรงความโน้มถ่วงของโลก หรือไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ เหมือนน้ำในแม่น้ำลำคลอง บ่อบาดาลที่เจาะในแหล่งน้ำแบบนี้เรียกว่า Water table well น้ำบาดาลแบบที่สองเกิดอยู่ในหินอุ้มน้ำซึ่งถูกห่อหุ้มทั้งข้างบนและล่างด้วยหินเนื้อแน่นที่เรียกว่าหินกันน้ำ ระดับน้ำบาดาลอยู่เหนือชั้นน้ำเพราะมีแรงดัน จึงเรียกว่าระดับผิดความดัน บ่อบาดาลที่เจาะในแหล่งน้ำแบบนี้เรียกว่า Artesian well ซึ่งแบ่งแยกออกได้อีกเป็น 2 ชนิดคือ ชนิดที่มีแรงดันมาก ๆ ทำให้น้ำพุขึ้นมาเหนือผิวดิน กับชนิดที่มีแรงดันต่ำ น้ำขึ้นมาอยู่เหนือระดับชั้นน้ำ แต่ไม่เกินระดับผิวดินบ่อชนิดแรกเรียกว่า บ่อพุบาดาล (Artesian flowing well) บ่อชนิดหลังยังไม่มีคำแปลในภาษาไทยแต่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Artesian non-flowing well บ่อบาดาลทุกบ่อในกรุงเทพฯ จัดเป็นบ่อชนิดหลังนี้
เมื่อเจาะบ่อบาดาล ณ ที่ใดที่หนึ่ง น้ำในบ่อจะมีระดับคงที่ ณ จุดใดจุดหนึ่งเสมอ ไม่ว่าบ่อนั้นจะเป็น Water table well หรือ Artesian well ระดับน้ำคงที่นี้ เรียกว่าระดับน้ำปกติ (Static water level) เมื่อสูบน้ำออกจากบ่อ ระดับน้ำจะค่อย ๆ ลดลง ๆ จนถึงระดับหนึ่ง ซึ่งลดลงน้อยจนแทบจะสังเกตไม่ได้ ระดับน้ำที่เกือบจะไม่ลดลงนี้เรียกว่าระดับน้ำลด (pumping level) ระยะน้ำที่ลดจากระดับน้ำปกติลงไปจนถึงระดับน้ำลดนี้เรียกว่า ระยะน้ำลด (Draw down) การหาค่าระยะน้ำลดจึงคิดได้ง่าย ๆ โดยเอาค่าระดับน้ำปกติไปลบออกจากค่าระดับน้ำลด อัตราการสูบค่าหนึ่ง ๆ (คิดเป็นอัตราการสูบ เช่น แกลลอนต่อนาที หรือลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ฯลฯ) จะต้องมีความสัมพันธ์เป็นสัดส่วนกับค่าของระยะน้ำลด โดยปกติถ้าสูบน้ำน้อย ระยะน้ำลดก็น้อย ซึ่งหมายถึงว่าระดับน้ำลดก็จะน้อยด้วย และถ้าอัตราสูบน้ำมาก ระยะน้ำลดก็มาก และระดับน้ำลดก็จะมากไปด้วย
2 อัตราส่วนระหว่างอัตราการสูบกับระยะน้ำลด เป็นคุณสมบัติประจำตัวของบ่อแต่ละบ่อ ซึ่งเรียกว่าปริมาณน้ำจำเพาะ (Specific capacity) หาได้โดยเอาค่าระยะน้ำลดไปหารค่าอัตราปริมาณน้ำที่สูบ และมีหน่วยวัดคิดเป็นหน่วยของอัตราสูบต่อระยะน้ำลด 1 หน่วย ตัวอย่าง เช่น ถ้าสูบน้ำในอัตรา 50 แกลลอนต่อนาที มีระยะน้ำลด 5 ฟุต ปริมาณน้ำจำเพาะจะมีค่าเท่ากับ 50 หารด้วย 5 หรือ 10 แกลลอน ต่อนาทีต่อระยะน้ำลด 1 ฟุต ซึ่งเมื่อตีความหมายคุณสมบัติของบ่อนี้จะได้ความจริงว่า ถ้าสูบน้ำในอัตรา 10 แกลลอนต่อนาที บ่อนี้จะมีระยะน้ำลด 1 ฟุต หรือถ้าสูบน้ำให้มีระยะน้ำลดเพียง 1 ฟุต ก็จะสูบน้ำได้ 10 แกลลอนต่อนาที แต่มิได้หมายความว่า ถ้าสูบน้ำ 100 แกลลอนต่อนาทีควรมีระยะน้ำลด 10 ฟุต หรือถ้าสูบน้ำ 1,000 แกลลอนต่อนาทีควรมีระยะน้ำลด 100 ฟุต ซึ่งเป็นผลการคำนวณด้วยวิธีบัญญัติไตรยางศ์ ความจริงค่าที่คำนวณออกมานี้มีส่วนใกล้เคียงมาก ค่าที่แท้จริงหรือค่าที่ผิดไปต้องหาเอาโดยวิธี Aquifer test ที่กล่าวข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พอจะถือได้ว่า ถ้าบ่อนั้นเป็นบ่อ Artesian well ค่าที่คำนวณได้ก็เกือบจะถูกต้อง แต่ถ้าบ่อนั้นเป็น Water table well ค่าที่คำนวณได้โดยวิธีบัญญัติไตรยางศ์ เมื่อบวกกับค่ากันผิด (Safety factor) เข้าไปอีกประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ก็เกือบจะได้ค่าที่แท้จริง ค่าต่าง ๆ เหล่านี้เป็นหลักการขั้นต้นที่จะใช้ในการคำนวณ หรือเลือกใช้เครื่องสูบให้ถูกต้องกับคุณสมบัติของบ่อ
สาเหตุที่ Artesian well หรือ Water table well มีคุณสมบัติต่างกันจนใช้วิธีการคำนวณจากค่าปริมาณน้ำจำเพาะผิดกัน ดังตัวอย่างข้างต้นนั้น เนื่องมาจากพฤติการณ์การไหลของน้ำเข้าสู่บ่อไม่เหมือนกัน กล่าวคือ น้ำที่สูบขึ้นมาจากบ่อประเภท Water table well เกิดจากการไหลของน้ำรอบ ๆ บ่อ เข้าสู่บ่อได้เพราะระดับน้ำในบ่ออยู่ต่ำกว่า การไหลนี้มีลักษณะเหมือนกับน้ำซึม น้ำทุก ๆ หยดในบริเวณระดับน้ำใต้ดินรอบ ๆ บ่อ จะซึมเข้าไปสู่บ่อก่อนที่น้ำจากจุดซึ่งไกลออกไปจะซึมเข้าไปถึง และบริเวณที่น้ำซึมออกไปแล้วนี้จะแห้งไปชั่วระยะหนึ่งในตอนที่สูบน้ำอยู่ ฉะนั้น ถ้าวัดระดับน้ำในบ่อสังเกตการณ์จำนวนมาก ๆ รอบ ๆ บ่อซึ่งกำลังสูบน้ำ จะพบว่าบริเวณรอบในใกล้บ่อสูบ ระดับน้ำจะลดลงมากกว่าบริเวณที่อยู่ไกล ๆ และยิ่งไกลออกไป ระยะน้ำลดจะยิ่งน้อยลง ๆ จนถึงจุดหนึ่งน้ำจะไม่ลดลงเลย ผิวระดับน้ำลดทั้งในบ่อที่กำลังสูบและบริเวณรอบ ๆ นี้ ถ้าสามารถมองทะลุลงไปได้ ก็จะเห็นว่ามีรูปร่างเหมือนกรวยหงาย ยอดกรวยอยู่ที่ระดับน้ำลดในบ่อสูบ ฐานกรวยก็คือระดับน้ำใต้ดินเดิม ขอบกรวยก็คือระดับน้ำในบ่อสังเกตการณ์ เริ่มต้นแต่จุดใกล้บ่อที่กำลังสูบ ไปจนถึงบ่อสุดท้ายที่น้ำไม่ลด ทางวิชาการเรียกกรวยนี้ว่า กรวยน้ำลด (Cone of depression) (ดูรูปที่ 18) ระยะทางระหว่างบ่อที่กำลังสูบน้ำไปถึงจุดแรกที่น้ำไม่ลดนี้เรียกว่า รัศมีกรวยน้ำลด (Radius of influence)
เมื่อเข้าใจการเกิดกรวยน้ำลดของบ่อประเภท Water table แล้วก็พอจะกล่าวได้ว่าน้ำทุก ๆ แกลลอน หรือทุกลิตรที่สูบออกมาจากบ่อนั้น มาจากน้ำที่อยู่ในกรวยน้ำลด ซึ่งไหลเข้าสู่บ่อได้ เพราะว่าแรงโน้มถ่วงของโลกดูดให้ไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ ฉะนั้นเมื่อสูบน้ำในอัตราเพิ่มขึ้น กรวยน้ำลดก็ต้องขยายออกไป เพราะต้องเสียน้ำไปให้บ่อมากขึ้น การที่กรวยน้ำลดขยายออกนี้
3 หมายความว่าระยะทางที่น้ำจะไหลย่อมจะไกลขึ้น แรงเสียดทานต่าง ๆ เนื่องจากการไหลผ่านชั้นหินก็ย่อมมีมากขึ้นกว่าเดิม น้ำแต่ละหยดจึงไปถึงบ่อได้ช้า การไปถึงช้านี้เป็นเหตุให้ระดับน้ำในบ่อลดลงมากกว่าที่ควรจะเป็น ฉะนั้นถ้ายิ่งสูบน้ำมากขึ้น ระยะน้ำลดก็จะยิ่งมากกว่าที่ควรจะคำนวณได้โดยวิธีบัญญัติไตรยางศ์ จากค่าปริมาณน้ำจำเพาะทุกครั้งไป สาเหตุดังกล่าวนี้ทำให้ต้องมีการบวกค่ากันผิด (Safety factor) เข้าไปด้วย
รูป ลักษณะของกรวยน้ำลดในชั้นน้ำบาดาลประเภทชั้นน้ำปกติ และชั้นน้ำภายใต้ความดัน
การสูบน้ำในบ่อ Artesian well จะมีลักษณะการลดของระดับน้ำในบ่อสังเกตการณ์เหมือนกับกรณีของบ่อ Water table well แต่กรวยที่เกิดขึ้นมีฐานกว้างกว่า และการกำเนิดกรวยมาจากสาเหตุที่ แตกต่างกัน กล่าวคือ ถ้าเปรียบเทียบน้ำบาดาลในชั้นน้ำประเภทนี้ เหมือนกับน้ำที่ไหลอยู่เต็มท่อประปา ดังที่เคยอุปมามาในตอนต้น ๆ การเจาะบ่อหลาย ๆ บ่อ ก็เหมือนกับการเจาะรูในท่อหลาย ๆ รู แล้วเอาหลอดแก้วปักลงไป จะเห็นว่าในหลอดแต่ละหลอดมีน้ำขึ้นมาอยู่เหนือระดับผิวท่อเพราะแรงดันในท่อ ถ้าดูดน้ำออกจากหลอดหนึ่งหลอดใด จะเห็นว่าระดับน้ำในหลอดอื่น ๆ พลอยลดลงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่น้ำยังไหลอยู่เต็มท่อ ระดับน้ำที่ลดลงนี้มีสาเหตุอย่างเดียวกัน ฉะนั้น การเกิดกรวยน้ำลดในกรณีนี้ จึงมีผลเนื่องมาจากการลดความดัน ไม่ใช่เพราะน้ำไหลออกจากกรวย เหมือนดังบ่อ Water table well กรวยประเภทนี้จึงมีชื่อเรียกว่ากรวยความดันลด (Cone of pressure relief) ส่วนการไหลของน้ำ จากชั้นน้ำเข้าสู่บ่อ ในระหว่างที่ทำการสูบในอัตราต่าง ๆ กัน มาจากชั้นน้ำที่หนาเท่ากัน ผ่านตัวกลางหรือช่องว่างในหินอย่างเดียวกันตลอดเวลา คามเสียดทานต่าง ๆ จึงมีค่าเท่ากัน ค่าปริมาณน้ำจำเพาะจึงมีเท่ากันเสมอ ไม่ว่าจะสูบในอัตราเท่าใด การคำนวณจึงไม่ต้องมีค่ากันผิด (Safety factor)
4 วิธีการทดสอบปริมาณน้ำ
การทดสอบบ่อที่เจาะเสร็จใหม่ ๆ เพื่อให้รู้ปริมาณน้ำบาดาลที่จะสูบได้ มีวิธีการแบบธรรมดา ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่การทดสอบในทางอุทกธรณีวิทยาจริง ๆ ต้องดำเนินการให้ละเอียดลงไปอีก คือตลอดระยะเวลาที่ทำการสูบ จะต้องสูบให้ได้อัตราคงที่สม่ำเสมอ และต้องวัดระดับน้ำในบ่อที่ค่อย ๆ ลดลงไปตลอดเวลา จนกว่าน้ำจะไม่ลดลงต่อไปอีก การวัดระดับน้ำพร้อมทั้งจดเวลาที่ใช้สูบน้ำ จนน้ำไม่ลดลงนี้ บางที่ต้องใช้เวลาติดต่อกันถึง 7 วัน 7 คืน หลังจากหยุดสูบแล้วจะต้องคอยวัดระดับน้ำที่คืนตัว (Recovery) ขึ้นมาอีก กล่าวคือ เมื่อสูบน้ำ น้ำจะลดลง แต่เมื่อหยุดสูบ ระดับน้ำจะคืนตัวกลับมาอยู่ที่เดิมเสมอ ทั้งนี้หมายรวมถึงบ่อสังเกตการณ์ หรือบ่อใกล้เคียงที่น้ำในบ่อลดลงไปทั้ง ๆ ที่มิได้สูบ แต่ลดลงเนื่องจาก อิทธิพลการสูบ หรือเนื่องจากอยู่รัศมีกรวยน้ำลดด้วย
การวัดระดับน้ำในบ่อบาดาลอาจทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่แน่นอนได้แก่การวัดด้วยเทปวัดระยะ เทปที่ใช้มี 2 ประเภท คือเทปเหล็ก และเทปไฟฟ้า การวัดด้วยเทปเหล็กทำได้โดยหย่อนเทปลงทางช่องว่างในบ่อ โดยกะให้ปลายเทปจมอยู่ในน้ำ พร้อม ๆ กับอ่านค่าตัวเลขที่เทปที่ปากบ่อหรือปากท่อกรุ แล้วดึงเทปขึ้นมาอ่านตัวเลขส่วนที่จมน้ำหรือเปียกน้ำตอนบนสุด ตัวเลข 2 ค่านี้ เมื่อลบกัน ก็จะได้ความลึกของระดับน้ำนับจากปากบ่อ ส่วนการวัดปริมาณน้ำนั้น ได้กล่าวในตอนต้นแล้วว่าเป็นการวัดอัตราการไหลของน้ำจึงคิดเป็นแกลลอนต่อนาที หรือลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง อย่างใดอย่างหนึ่ง การวัดปริมาณน้ำมีหลายวิธีเช่นเดียวกัน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะวิธีง่าย ๆ ที่เรียกว่า วิธีการตวง กล่าวคือ ใช้ภาชนะที่รู้ปริมาตรแน่นอนไปรองรับน้ำจากเครื่องสูบ พร้อมทั้งจับเวลาที่น้ำไหลลงสู่ภาชนะตั้งแต่ต้นจนน้ำเต็ม จำนวนวินาทีหรือนาทีที่น้ำไหลเต็มภาชนะ ซึ่งรู้ความจุที่แน่นอนแล้วนี้ เมื่อเปรียบเทียบบัญญัติไตรยางศ์โดยคิดเป็นเวลา 1 นาที หรือ1 ชั่วโมง ก็จะได้ค่าปริมาณน้ำที่ไหลได้ ภาชนะที่ใช้ได้ดีได้แก่ปี๊บน้ำมันก๊าด แบบมาตรฐาน ซึ่งเรียกกันว่าปี๊บ 20 ลิตร (จุน้ำได้ 5.5 แกลลอน) หรือถังน้ำมันที่เรียกถัง 200 ลิตร (จุน้ำได้ 55 แกลลอน) ตัวอย่างเช่นใช้ถังน้ำมัน 200 ลิตร (ความจริง 208 ลิตร) ในการตรวจตวงน้ำ และตวงได้เต็มภายในเวลา 11 วินาที เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์ ก็ปรากฏว่าใน 1 นาที จะมีน้ำไหล 55 คูณด้วย 60 หารด้วย 11 = 300 แกลลอน ฉะนั้นปริมาณน้ำที่สูบในขณะนั้น จึงเท่ากับ 300 แกลลอนต่อนาทีเป็นต้น การวัดปริมาณน้ำด้วยวิธีนี้ จะได้ค่าที่ถูกต้องแน่นอน เมื่อจับเวลาได้ถูกต้อง เวลาที่จับต้องคิดเป็นวินาทีเสมอไป
ข้อมูลและประโยชน์ของการการทดสอบปริมาณน้ำ
ในการทดสอบทางอุทกวิทยา จำเป็นจะต้องวัดบ่อสังเกตการณ์อย่างน้อย 1 บ่อเสมอ การวัดระดับน้ำลดและระดับน้ำคืนตัวก็ทำเช่นกันและพร้อม ๆ กันกับบ่อที่สูบน้ำ ค่าต่าง ๆ ที่วัดได้เมื่อนำเอาไปศึกษาและแปลค่า ก็จะได้ข้อมูลในการคำนวณรายละเอียดต่าง ๆ ได้หลายประการดังนี้

5 1. หาปริมาณน้ำที่จะสูบได้มากที่สุดในบ่อแต่ละบ่อ ไม่ว่าจะสูบเป็นระยะเวลานานเท่าใดหรือคำนวณปริมาณที่ควรจะสูบได้ เมื่อต้องการให้มีระยะน้ำลดระยะหนึ่งระยะใด หรือคำนวณได้ว่า ถ้าสูบน้ำปริมาณอย่างหนึ่งอย่างใด จะมีระยะน้ำลดเท่าใด เหล่านี้เป็นต้น ค่าต่าง ๆ ที่ได้นี้มีประโยชน์หรือสะดวกกว่าการที่จะต้องเอาเครื่องสูบไปสูบทดลองทุกครั้งที่มีข้อสงสัยเกิดขึ้น และมีประโยชน์โดยตรงต่อการเลือกซื้อเครื่องสูบได้ถูกต้อง
2. คำนวณหารัศมีของกรวยน้ำลด หรือกรวยความดันลด ได้โดยไม่ต้องเสียเวลา หรือเสียเงินลงทุนเจาะบ่อสังเกตการณ์มาก ๆ ความรู้เรื่องรัศมีของกรวยน้ำลดนี้ มีประโยชน์ในการเลือกที่เจาะบ่อใหม่ เพราะถ้าเจาะไว้ในรัศมีของบ่อเดิม ระดับน้ำในบ่อใหม่จะลดลงไปเฉย ๆ โดยไม่ต้องสูบน้ำ หรือถ้าสูบน้ำในบ่อใหม่พร้อม ๆ กับบ่อเก่า บ่อใหม่ก็มีกรวยน้ำลดหรือกรวยความดันลดเช่นเดียวกัน เมื่อกรวย 2 กรวยวิ่งเข้าหากันก็จะคาบเกี่ยวหรือเหลื่อมกัน จึงเกิดแย่งน้ำ (Interference effect) กันขึ้น (ดูรูปที่ 19) ผลเสียหายที่เกิดขึ้นกับปริมาณน้ำที่จะสูบได้จากบ่อแต่ละบ่อน้อยลง แต่ระดับน้ำลดมากขึ้น เป็นเหตุให้บางครั้งถึงกับต้องเจาะบ่อใหม่ หรือเปลี่ยนเครื่องสูบใหม่
3. อันเนื่องมาจากข้อ 2 ผลการทดสอบทางอุทกวิทยา สามารถคำนวณได้ว่า ถ้าจะเจาะบ่อใหม่ควรจะเจาะที่ใด จึงไม่เกิดการแก่งแย่งน้ำ บ่อใหม่ควรจะสูบได้มากน้อยเท่าใด ควรจะใช้เครื่องสูบขนาดไหน และถ้าจำเป็นจะต้องเจาะบ่อในบริเวณกรวยน้ำลดของบ่อแรก ก็พอจะคำนวณได้ด้วยว่า บ่อใหม่จะได้น้ำมากที่สุดเท่าใด
4. สามารถจะพยากรณ์สภาพบ่อของบ่อในอนาคตได้ว่า ระดับน้ำจะลดลงมากน้อยเท่าใด
สามารถจะเอาข้อมูลจากการทดสอบนี้ ไปคำนวณร่วมกับสถิติข้อมูลอื่น ๆ หาปริมาณน้ำบาดาลในแหล่งน้ำทั้งหมด ปริมาณน้ำที่ควรจะพัฒนาใช้ได้ประจำปี ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเพิ่มเติม ปริมาณน้ำบาดาลที่สูญหายเพราะไหลไปสู่แอ่งน้ำบาดาลอื่น ๆ หรือพูดง่าย ๆ ว่าสามารถเอาไปศึกษาเรื่องดุลยภาพของแหล่งน้ำ (Water balance) ได้
ใคร่จะกล่าวย้ำว่า ความรู้หรือตัวเลขเกี่ยวกับระยะน้ำลด (Draw down) และระดับน้ำปกติเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของบ่อแต่ละบ่อ ปราศจากตัวเลขเหล่านี้ ไม่อาจจะซื้อเครื่องสูบขนาดที่ต้องการใช้ได้ยืนนาน และได้รับผลประโยชน์จากบ่อเต็มที่ได้
6 รูป การแย่งน้ำระหว่างบ่อต่อบ่อ
คำอธิบาย
- สมมติว่าบ่อ ก. ข. และ ค. ห่างกันเท่าๆ กัน และสูบน้ำออกด้วยอัตราสูบเท่ากัน
- ถ้าสูบน้ำจากบ่อ ๆ เดียว (โดยหยุดสูบอีก 2 บ่อ) ระดับน้ำบาดาลในบ่อนั้นจะอยู่ที่ จ. หรือ ฉ. หรือ ช. และแต่กรณี และมีกรวยน้ำลด ดังแสดงด้วยเส้นประ
- เมื่อสูบน้ำพร้อมๆ กัน กรวยน้ำลดของแต่ละบ่อ (แสดงด้วยเส้นประ) จะคาบเกี่ยวและเหลื่อมกัน และจะยังผลให้ระดับน้ำลดต่ำลงไปอีก คือลงไปอยู่ที่ ด. ต. และ ท.